ฟ้ายังฟ้าอยู่

ฟ้ายังฟ้าอยู่
ฟ้ายังดูสดใส
Freefall is one of the most exciting, adrenaline-filled experiences you're likely to ever have. The feeling is different for everyone, so check out the testimonials from people just like you, with one exceptionthey've fallen towards the earth at 120 miles per hour!

Wednesday, August 27, 2025

#สงครามอสมมาตร (Asymmetric Warfare): #เงาสะท้อนจากชายแดนใต้



#อารัมภบท

“อสมมาตร” หมายถึงสิ่งที่ไม่สมดุล ไม่เท่าเทียมกัน เมื่อถูกนำมาใช้ในทางทหาร จึงหมายถึงสงครามที่คู่ต่อสู้ทั้งสองฝ่ายมีศักยภาพไม่เท่ากัน ฝ่ายหนึ่งเหนือกว่าทุกด้าน ส่วนอีกฝ่ายอ่อนแอกว่า แต่กลับหาทางต่อสู้ด้วยกลยุทธ์ที่พลิกแพลง ใช้สิ่งที่มีจำกัดให้เกิดผลมากที่สุด

เหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ตลอดกว่า 20 ปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าสมรภูมิยุคใหม่ไม่ได้จำกัดอยู่ที่ป่าเขาหรือถนนในหมู่บ้าน หากแต่ขยายไปสู่ “สมรภูมิข้อมูลข่าวสาร” ที่เต็มไปด้วยการบิดเบือน ใส่ร้าย และสร้างภาพลวงตาให้สาธารณชนไขว้เขว ความจริงกับความเท็จถูกทำให้แทบแยกไม่ออก และนี่เองคือหัวใจของสิ่งที่เรียกว่า “สงครามอสมมาตร”

#จากสุภาษิตโบราณสู่กลยุทธ์ยุคใหม่

ในสมัยโบราณ กองกำลังเล็กที่อ่อนแอกว่าแทบไม่มีทางรอดจากการรุกรานของมหาอำนาจ “น้ำน้อยย่อมไม่อาจต้านทานไฟบรรลัยกัลป์” คำนี้สะท้อนความจริงในยุคที่กองทัพมองโกลสามารถบดขยี้ชนเผ่าได้ทั้งเผ่าภายในไม่กี่วัน

แต่เมื่อก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 20–21 โลกเปลี่ยนไป กองกำลังเล็กไม่จำเป็นต้องยอมจำนน หากสามารถใช้ “ยุทธวิธีนอกกติกา” เข้าสู้  นี่คือที่มาของสงครามอสมมาตร ที่ฝ่ายเล็กพยายามพลิกความอ่อนแอให้กลายเป็นอาวุธ โดยใช้ความคาดไม่ถึง การลักลอบ และการเล่นกับกฎกติกาของโลกสมัยใหม่

#กฎหมายและขันติธรรม : #เครื่องพันธนาการของมหาอำนาจ

สิ่งที่ทำให้สงครามอสมมาตรเป็น “สงครามยุคใหม่” นอกเหนือไปจากกลยุทธ์  คือบริบทโลกที่เปลี่ยนไป กฎหมายระหว่างประเทศ สิทธิมนุษยชน และกติการะหว่างประเทศทุกฉบับ ล้วนบังคับให้มหาอำนาจต้องมี “ขันติธรรม” ต่อกันและต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ พวกเขาไม่อาจใช้การปราบปรามแบบเด็ดขาดเหมือนในอดีตได้อีกต่อไป ความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวของเจ้าหน้าที่รัฐอาจถูกหยิบยกขึ้นเวทีโลก กลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองให้ฝ่ายตรงข้าม

#ข่าวสาร : #อาวุธที่มองไม่เห็น

หากในอดีตสงครามวัดกันที่ดาบและปืน ปัจจุบันมันกลับวัดกันที่ “ความน่าเชื่อถือ” ข่าวลือหนึ่งข่าวอาจแรงกว่ากระสุนพันนัด ตัวอย่างที่เกิดขึ้นบ่อยในพื้นที่ชายแดนใต้คือการนำภาพเหตุการณ์เก่ามาตัดต่อให้ดูเหมือนเหตุการณ์สดใหม่ แล้วปล่อยในเฟซบุ๊กหรือไลน์ท้องถิ่น ทำให้ประชาชนโกรธแค้นและคลางแคลงใจเจ้าหน้าที่ อีกทั้งยังมีการปล่อยข่าวเท็จว่าผู้ตายจากการปะทะเป็นชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ ทั้งที่ในความจริงมีหลักฐานชัดว่าเป็นผู้ก่อเหตุ

สื่อมวลชน โซเชียลมีเดีย และอินเทอร์เน็ต จึงเป็นอาวุธสำคัญที่ทำให้เสียงเล็ก ๆ ของฝ่ายที่อ่อนแอ กลายเป็นเสียงก้องสะท้อนทั่วโลก

#บริบทไทย–#กัมพูชา : #อสมมาตรร่วมสมัย

หากมองใกล้ตัว ความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชาในบางช่วงก็สะท้อนภาพสงครามอสมมาตรเช่นกัน ไทยเหนือกว่าทุกด้านทั้งกำลังทหาร เศรษฐกิจ และอิทธิพลในภูมิภาค แต่กัมพูชากลับเลือกใช้วิธีการ “นอกกติกา” เพื่อถ่วงดุล เช่น

 - การสร้างข่าวสารบิดเบือนในเวทีโลก

 - การโหมกระแสชาตินิยมภายใน เพื่อกดดันไทย

 - การใช้ระบบการเมืองที่รวมศูนย์ สั่งการได้เบ็ดเสร็จโดยไร้การตรวจสอบ

ขณะที่ไทยเป็นสังคมเปิดกว้าง ต้องรักษาความถูกต้องและความน่าเชื่อถือ จึงกลายเป็นข้อจำกัดในหลายสถานการณ์ สิ่งนี้ทำให้ไทยแม้จะเหนือกว่า แต่กลับถูกบังคับให้ตั้งรับอยู่หลายครั้ง

นี่จึงเป็นอีกมิติร่วมสมัยที่ตอกย้ำว่า อสมมาตรไม่ได้อยู่ไกลตัว หากปรากฏให้เห็นในภูมิภาคของเราเอง

#มิติทางศาสนา : #คุณธรรมที่ถูกบิดเบือน

หากย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์อิสลาม สงครามในสมัยศาสดามูฮัมหมัดยังคงอยู่ในกรอบแห่งคุณธรรม นักรบมีความห้าวหาญแต่ไม่ละทิ้งความยุติธรรมในหัวใจ ศาสนาอนุมัติสงคราม แต่ไม่อนุมัติความโหดร้ายต่อผู้บริสุทธิ์

ตรงกันข้าม ในสงครามอสมมาตรยุคปัจจุบัน หลายกลุ่มที่อ้างตัวเป็นนักต่อสู้มุสลิมกลับเลือกใช้การโจมตีแบบไม่เลือกเป้าหมาย การบิดเบือนข่าวสาร และการสร้างความหวาดกลัว ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการเบี่ยงเบนไปจากแก่นแท้ของศาสนาเอง

เหตุผลที่กลุ่มเหล่านี้นำวิธีดังกล่าวมาใช้ แม้ผิดหลักศาสนาและโหดร้ายต่อมนุษยธรรม ได้แก่:

 1. ความเสียเปรียบเชิงกำลัง ทำให้ต้องเลือกวิธีการที่ต้นทุนต่ำแต่ได้ผลสูง

 2. การตีความศาสนาที่บิดเบือน เพื่อสร้างความชอบธรรมปลุกเร้ามวลชน

 3. ผลลัพธ์ด้านข่าวสาร ที่ทำให้การโจมตีโหดร้ายกลายเป็นข่าวใหญ่ กดดันรัฐในเวทีโลก

 4. อิทธิพลจากขบวนการก่อการร้ายสากล ที่ทำให้เกิดการเลียนแบบวิธีการ

#ปัจจัยแห่งความสำเร็จ : #บทเรียนจากติมอร์เลสเต้

สงครามอสมมาตรในบางกรณีก็สามารถนำไปสู่ชัยชนะได้ เช่น การแยกประเทศติมอร์เลสเต้ซึ่งเดิมเป็นเพียงดินแดนเล็ก ๆ ที่อินโดนีเซียถือครองอยู่ ด้วยกำลังที่น้อยกว่ามาก ฝ่ายแบ่งแยกดินแดนไม่มีทางจะเอาชนะได้หากไร้ปัจจัยภายนอก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ชาติมหาอำนาจเข้ามาแทรกแซง สนับสนุน และกดดันอินโดนีเซียในเวทีโลก จนสุดท้ายติมอร์เลสเต้ได้ประกาศเอกราชสำเร็จ

นี่ชี้ให้เห็นว่าในสงครามอสมมาตร ปัจจัยเบื้องหลัง เช่น การสนับสนุนจากต่างประเทศ หรือแรงกดดันจากองค์กรระหว่างประเทศ อาจสำคัญไม่แพ้การต่อสู้ในสนามจริง

#ความเหี้ยมและแบ็กอัพ

อีกประเด็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ “ความเหี้ยม” หากฝ่ายที่เหนือกว่าไม่เด็ดขาดพอ สุดท้ายก็จะถูกกัดกร่อนในสงครามยืดเยื้อ แต่ถ้าจะเลือกใช้ความโหดเหี้ยม ก็ต้องมี “แบ็กอัพ” เหมือนอิสราเอลที่สามารถดำรงอยู่ได้แม้ใช้วิธีการแข็งกร้าวกับปาเลสไตน์ เพราะมีสหรัฐฯ และเครือข่ายโลกตะวันตกคอยหนุนหลัง หากไม่มีร่มคุ้มกันเช่นนี้ ความเหี้ยมก็อาจกลายเป็นกับดักทำลายตัวเองในเวทีโลก

#สงครามยืดเยื้อ = #สุสานของจักรวรรดิ

แก่นแท้ของสงครามอสมมาตรอีกข้อคือ ความยืดเยื้อ ฝ่ายที่มีกำลังน้อยกว่ามักไม่หวังชัยชนะในทันที แต่หวังให้ศัตรู “เหนื่อยและล้า” จากการสู้รบที่ยาวนานจนไม่สามารถรับภาระได้ต่อไป

กรณีอัฟกานิสถานจึงถูกขนานนามว่า “สุสานของจักรวรรดิ” เพราะในศตวรรษที่ผ่านมา มหาอำนาจที่ยกทัพเข้าไป ไม่ว่าจะเป็น อังกฤษ, สหภาพโซเวียต หรือแม้แต่สหรัฐอเมริกา ต่างก็ต้องถอนทัพออกมาในที่สุด แม้จะเหนือกว่าทุกด้านก็ตาม

ดังนั้น ในสงครามอสมมาตร หากฝ่ายที่เหนือกว่าทนความยืดเยื้อไม่ได้ ก็อาจถือว่าแพ้ในที่สุด แม้ในสนามรบจะไม่เคยพ่ายเลยก็ตาม

#บทสรุป

สงครามอสมมาตรจึงไม่ใช่เพียงการสู้ระหว่างกองกำลังไม่เท่าเทียม แต่คือการต่อสู้ระหว่าง ความจริงกับการบิดเบือน ระหว่าง อำนาจที่มองเห็นกับอำนาจที่มองไม่เห็น และระหว่าง กำลังทหารกับกำลังใจของผู้คน

ชายแดนใต้ของเราคือสมรภูมิหนึ่งในโลก ที่บทเรียนเหล่านี้ปรากฏอย่างชัดเจน ผู้ที่ยืนหยัดอยู่ได้ในท้ายที่สุด ไม่ใช่ผู้ที่มีอาวุธมากที่สุด แต่คือผู้ที่มีความชอบธรรมและความอดทนในหัวใจ

เพราะสิ่งที่จะยุติสงครามได้จริง ไม่ใช่เพียงกำลัง หากคือ “ขันติธรรม” ที่มนุษย์มีให้ต่อกันและกัน

#ขอบคุณภาพจากมติชน