#อารัมภบท
“อสมมาตร” หมายถึงสิ่งที่ไม่สมดุล ไม่เท่าเทียมกัน เมื่อถูกนำมาใช้ในทางทหาร จึงหมายถึงสงครามที่คู่ต่อสู้ทั้งสองฝ่ายมีศักยภาพไม่เท่ากัน ฝ่ายหนึ่งเหนือกว่าทุกด้าน ส่วนอีกฝ่ายอ่อนแอกว่า แต่กลับหาทางต่อสู้ด้วยกลยุทธ์ที่พลิกแพลง ใช้สิ่งที่มีจำกัดให้เกิดผลมากที่สุด
เหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ตลอดกว่า 20 ปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าสมรภูมิยุคใหม่ไม่ได้จำกัดอยู่ที่ป่าเขาหรือถนนในหมู่บ้าน หากแต่ขยายไปสู่ “สมรภูมิข้อมูลข่าวสาร” ที่เต็มไปด้วยการบิดเบือน ใส่ร้าย และสร้างภาพลวงตาให้สาธารณชนไขว้เขว ความจริงกับความเท็จถูกทำให้แทบแยกไม่ออก และนี่เองคือหัวใจของสิ่งที่เรียกว่า “สงครามอสมมาตร”
#จากสุภาษิตโบราณสู่กลยุทธ์ยุคใหม่
ในสมัยโบราณ กองกำลังเล็กที่อ่อนแอกว่าแทบไม่มีทางรอดจากการรุกรานของมหาอำนาจ “น้ำน้อยย่อมไม่อาจต้านทานไฟบรรลัยกัลป์” คำนี้สะท้อนความจริงในยุคที่กองทัพมองโกลสามารถบดขยี้ชนเผ่าได้ทั้งเผ่าภายในไม่กี่วัน
แต่เมื่อก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 20–21 โลกเปลี่ยนไป กองกำลังเล็กไม่จำเป็นต้องยอมจำนน หากสามารถใช้ “ยุทธวิธีนอกกติกา” เข้าสู้ นี่คือที่มาของสงครามอสมมาตร ที่ฝ่ายเล็กพยายามพลิกความอ่อนแอให้กลายเป็นอาวุธ โดยใช้ความคาดไม่ถึง การลักลอบ และการเล่นกับกฎกติกาของโลกสมัยใหม่
#กฎหมายและขันติธรรม : #เครื่องพันธนาการของมหาอำนาจ
สิ่งที่ทำให้สงครามอสมมาตรเป็น “สงครามยุคใหม่” นอกเหนือไปจากกลยุทธ์ คือบริบทโลกที่เปลี่ยนไป กฎหมายระหว่างประเทศ สิทธิมนุษยชน และกติการะหว่างประเทศทุกฉบับ ล้วนบังคับให้มหาอำนาจต้องมี “ขันติธรรม” ต่อกันและต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ พวกเขาไม่อาจใช้การปราบปรามแบบเด็ดขาดเหมือนในอดีตได้อีกต่อไป ความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวของเจ้าหน้าที่รัฐอาจถูกหยิบยกขึ้นเวทีโลก กลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองให้ฝ่ายตรงข้าม
#ข่าวสาร : #อาวุธที่มองไม่เห็น
หากในอดีตสงครามวัดกันที่ดาบและปืน ปัจจุบันมันกลับวัดกันที่ “ความน่าเชื่อถือ” ข่าวลือหนึ่งข่าวอาจแรงกว่ากระสุนพันนัด ตัวอย่างที่เกิดขึ้นบ่อยในพื้นที่ชายแดนใต้คือการนำภาพเหตุการณ์เก่ามาตัดต่อให้ดูเหมือนเหตุการณ์สดใหม่ แล้วปล่อยในเฟซบุ๊กหรือไลน์ท้องถิ่น ทำให้ประชาชนโกรธแค้นและคลางแคลงใจเจ้าหน้าที่ อีกทั้งยังมีการปล่อยข่าวเท็จว่าผู้ตายจากการปะทะเป็นชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ ทั้งที่ในความจริงมีหลักฐานชัดว่าเป็นผู้ก่อเหตุ
สื่อมวลชน โซเชียลมีเดีย และอินเทอร์เน็ต จึงเป็นอาวุธสำคัญที่ทำให้เสียงเล็ก ๆ ของฝ่ายที่อ่อนแอ กลายเป็นเสียงก้องสะท้อนทั่วโลก
#บริบทไทย–#กัมพูชา : #อสมมาตรร่วมสมัย
หากมองใกล้ตัว ความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชาในบางช่วงก็สะท้อนภาพสงครามอสมมาตรเช่นกัน ไทยเหนือกว่าทุกด้านทั้งกำลังทหาร เศรษฐกิจ และอิทธิพลในภูมิภาค แต่กัมพูชากลับเลือกใช้วิธีการ “นอกกติกา” เพื่อถ่วงดุล เช่น
- การสร้างข่าวสารบิดเบือนในเวทีโลก
- การโหมกระแสชาตินิยมภายใน เพื่อกดดันไทย
- การใช้ระบบการเมืองที่รวมศูนย์ สั่งการได้เบ็ดเสร็จโดยไร้การตรวจสอบ
ขณะที่ไทยเป็นสังคมเปิดกว้าง ต้องรักษาความถูกต้องและความน่าเชื่อถือ จึงกลายเป็นข้อจำกัดในหลายสถานการณ์ สิ่งนี้ทำให้ไทยแม้จะเหนือกว่า แต่กลับถูกบังคับให้ตั้งรับอยู่หลายครั้ง
นี่จึงเป็นอีกมิติร่วมสมัยที่ตอกย้ำว่า อสมมาตรไม่ได้อยู่ไกลตัว หากปรากฏให้เห็นในภูมิภาคของเราเอง
#มิติทางศาสนา : #คุณธรรมที่ถูกบิดเบือน
หากย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์อิสลาม สงครามในสมัยศาสดามูฮัมหมัดยังคงอยู่ในกรอบแห่งคุณธรรม นักรบมีความห้าวหาญแต่ไม่ละทิ้งความยุติธรรมในหัวใจ ศาสนาอนุมัติสงคราม แต่ไม่อนุมัติความโหดร้ายต่อผู้บริสุทธิ์
ตรงกันข้าม ในสงครามอสมมาตรยุคปัจจุบัน หลายกลุ่มที่อ้างตัวเป็นนักต่อสู้มุสลิมกลับเลือกใช้การโจมตีแบบไม่เลือกเป้าหมาย การบิดเบือนข่าวสาร และการสร้างความหวาดกลัว ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการเบี่ยงเบนไปจากแก่นแท้ของศาสนาเอง
เหตุผลที่กลุ่มเหล่านี้นำวิธีดังกล่าวมาใช้ แม้ผิดหลักศาสนาและโหดร้ายต่อมนุษยธรรม ได้แก่:
1. ความเสียเปรียบเชิงกำลัง ทำให้ต้องเลือกวิธีการที่ต้นทุนต่ำแต่ได้ผลสูง
2. การตีความศาสนาที่บิดเบือน เพื่อสร้างความชอบธรรมปลุกเร้ามวลชน
3. ผลลัพธ์ด้านข่าวสาร ที่ทำให้การโจมตีโหดร้ายกลายเป็นข่าวใหญ่ กดดันรัฐในเวทีโลก
4. อิทธิพลจากขบวนการก่อการร้ายสากล ที่ทำให้เกิดการเลียนแบบวิธีการ
#ปัจจัยแห่งความสำเร็จ : #บทเรียนจากติมอร์เลสเต้
สงครามอสมมาตรในบางกรณีก็สามารถนำไปสู่ชัยชนะได้ เช่น การแยกประเทศติมอร์เลสเต้ซึ่งเดิมเป็นเพียงดินแดนเล็ก ๆ ที่อินโดนีเซียถือครองอยู่ ด้วยกำลังที่น้อยกว่ามาก ฝ่ายแบ่งแยกดินแดนไม่มีทางจะเอาชนะได้หากไร้ปัจจัยภายนอก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ชาติมหาอำนาจเข้ามาแทรกแซง สนับสนุน และกดดันอินโดนีเซียในเวทีโลก จนสุดท้ายติมอร์เลสเต้ได้ประกาศเอกราชสำเร็จ
นี่ชี้ให้เห็นว่าในสงครามอสมมาตร ปัจจัยเบื้องหลัง เช่น การสนับสนุนจากต่างประเทศ หรือแรงกดดันจากองค์กรระหว่างประเทศ อาจสำคัญไม่แพ้การต่อสู้ในสนามจริง
#ความเหี้ยมและแบ็กอัพ
อีกประเด็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ “ความเหี้ยม” หากฝ่ายที่เหนือกว่าไม่เด็ดขาดพอ สุดท้ายก็จะถูกกัดกร่อนในสงครามยืดเยื้อ แต่ถ้าจะเลือกใช้ความโหดเหี้ยม ก็ต้องมี “แบ็กอัพ” เหมือนอิสราเอลที่สามารถดำรงอยู่ได้แม้ใช้วิธีการแข็งกร้าวกับปาเลสไตน์ เพราะมีสหรัฐฯ และเครือข่ายโลกตะวันตกคอยหนุนหลัง หากไม่มีร่มคุ้มกันเช่นนี้ ความเหี้ยมก็อาจกลายเป็นกับดักทำลายตัวเองในเวทีโลก
#สงครามยืดเยื้อ = #สุสานของจักรวรรดิ
แก่นแท้ของสงครามอสมมาตรอีกข้อคือ ความยืดเยื้อ ฝ่ายที่มีกำลังน้อยกว่ามักไม่หวังชัยชนะในทันที แต่หวังให้ศัตรู “เหนื่อยและล้า” จากการสู้รบที่ยาวนานจนไม่สามารถรับภาระได้ต่อไป
กรณีอัฟกานิสถานจึงถูกขนานนามว่า “สุสานของจักรวรรดิ” เพราะในศตวรรษที่ผ่านมา มหาอำนาจที่ยกทัพเข้าไป ไม่ว่าจะเป็น อังกฤษ, สหภาพโซเวียต หรือแม้แต่สหรัฐอเมริกา ต่างก็ต้องถอนทัพออกมาในที่สุด แม้จะเหนือกว่าทุกด้านก็ตาม
ดังนั้น ในสงครามอสมมาตร หากฝ่ายที่เหนือกว่าทนความยืดเยื้อไม่ได้ ก็อาจถือว่าแพ้ในที่สุด แม้ในสนามรบจะไม่เคยพ่ายเลยก็ตาม
#บทสรุป
สงครามอสมมาตรจึงไม่ใช่เพียงการสู้ระหว่างกองกำลังไม่เท่าเทียม แต่คือการต่อสู้ระหว่าง ความจริงกับการบิดเบือน ระหว่าง อำนาจที่มองเห็นกับอำนาจที่มองไม่เห็น และระหว่าง กำลังทหารกับกำลังใจของผู้คน
ชายแดนใต้ของเราคือสมรภูมิหนึ่งในโลก ที่บทเรียนเหล่านี้ปรากฏอย่างชัดเจน ผู้ที่ยืนหยัดอยู่ได้ในท้ายที่สุด ไม่ใช่ผู้ที่มีอาวุธมากที่สุด แต่คือผู้ที่มีความชอบธรรมและความอดทนในหัวใจ
เพราะสิ่งที่จะยุติสงครามได้จริง ไม่ใช่เพียงกำลัง หากคือ “ขันติธรรม” ที่มนุษย์มีให้ต่อกันและกัน
#ขอบคุณภาพจากมติชน